ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาเยี่ยมชม นายศิริพงษ์ จันทะแจ่ม คบ.3 คอมพิวเตอร์ศึกษา ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาเยี่ยมชม

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

 เลือดกรุ๊ปAB

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป AB
   เลือดกรุ๊ปเอบี  เป็นเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในมนุษย์โดยพบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ประมาณ 1,000 กว่าปีมานี้ โดยจะมี 2ลักษณะในตัวคือ เป็นเลือดกรุ๊ปที่มีลักษณะผสมระหว่างเลือดกรุ๊ปเอและเลือดกรุ๊ปบี นั้นคือคุณจะมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเหมือนกรุ๊ปเอและต้องการเนื้อเหมือน กรุ๊ปบี จึงมีข้อจำกัดในการรับประทานน้อย
            ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้โปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก และมักมีกรดเกิดขึ้นมากในท้องส่วนล่างหรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆถ้ามีอาการผิดปกติ คือจะเรอบ่อย ดังนั้นเนื้อที่เหมาะคือเนื้อที่ย่อยง่าย
            การรับประทานเนื้อไก่และเนื้อเป็ด จะมีปัญหาเนื่องจากมีเลคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร เลืออกรุ๊ปเอบี สามารถรับประทานนมได้แต่ไม่มาก ระวังจะท้องเสียและสามารถรับประทานธัญพืชได้ดี คนเลือดกรุ๊ปเอบี มักจะมีภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี การรับประทานผัก ผลไม้ จะช่วยได้มาก
                           อาหารที่ควรรับประทานอีกอย่างก็คือ โยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย ทำให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานมากเกินไป และใน 1 วัน ควรดื่มน้ำสะอาดปริมาณมากๆ เพื่อขับถ่ายของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่น ส่วนการออกกำลังกายควรเลือกที่จะทำให้จิตใจสงบมีสมาธิอย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น
             การมีความรู้มีความเข้าใจที่ดีในเรื่องอาหาร จะนำไปสู่การปฏิบัติตนได้เหมาะสมในชีวิตประจำวัน ทำให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตได้ดีและดำเนินชีวิตอย่างสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรังบางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของตนเอง
เลือดกรุ๊ป O

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป O
 เป็นเลือดของมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้นคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอ จะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี เมื่อรับประทานโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์เป็นหลัก เลือดกรุ๊ปโอ สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด ยกเว้นสุกร เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง จึงย่อยโปรตีนได้ง่าย และร่างกายเองก็มีความเป็นกรดค่อนข้างมาก แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก  ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และควรเลือกรับประทานผักใบเขียวเพื่อให้ได้รับวิตามินเค ที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้วคนเลือดกรุ๊ปนี้ ควรรับประทานมะเขือเทศ แครอท น้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน เพื่อช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ เพราะจะช่วยควบคุมน้ำหนักให้คงที่เป็นอย่างดี
            คนเลือดกรุ๊ปโอ มักไม่ถูกกับอาหารประเภทผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช และถั่วต่างๆมากนัก เมื่อรับประทานอาหารประเภทนี้(ซึ่งไม่ได้เป็นอาหารของมนุษย์ยุคหิน)มากไปจะ ทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊สมาก และอ้วนง่าย
            ปัญหาความอ้วนที่พวกกรุ๊ปเลือดโอมักจะพบ เนื่องจากสารที่เรียกว่า กลูเต็น (gluten) ในธัญพืชที่รับประทานนั้น เป็นตัวขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานได้น้อย
 ยิ่งกว่านั้น สารเลคติน ในอาหารที่ทำจากถั่วจะยับยั้งประจุไฟฟ้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนกล้ามเนื้อ และพวกเลือดกรุ๊ปโอ ยังมักจะมีระดับไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ยับยั้งไทรอยด์ ฮอร์โมน คือกะหล่ำ ผักกาด แต่ควรรับประทานสาหร่ายทะเล อาหารทะเลมากๆ               
            เลือดกรุ๊ปโอควรงดกาแฟ น้ำอัดลม อาหารที่ทำให้กรดในกระเพาะเพิ่ม เนื่องจากทางการแพทย์พบว่า คนเลือดกรุ๊ปโอ จะมีอุบัติการณ์เป็นโรคกระเพาะมากกว่าปกติ
             อาหารทะเลที่แนะนำให้รับประทาน คือ อาหารในกลุ่มเนื้อปลาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นปลากะพง ปลาอินทรี ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ขณะที่อาหารทะเลในกลุ่มกลางๆ เช่น หอย ปู ปลาเก๋า เป๋าฮื้อ ก็สามารถรับประทานได้ แต่ห้ามในกลุ่มหอยสังข์ ปลาหมึก
            เนื้อที่สามารถรับประทานได้ ก็คือ เนื้อแกะ เนื้อเป็ด เนื้อไก่ ตับวัว ตับไก่ ตับหมู เป็นต้น อาหารที่พึงหลีกเลี่ยง คือ เนื้อหมู หมูแฮม เบคอน
            ส่วนผักที่ควรรับประทานก็อย่างเช่น ผักใบเขียว มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง แต่ที่ไม่ควรรับประทานก็คือกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มันฝรั่ง
            สำหรับกลุ่มผลไม้ที่แนะนำคือ ลูกพรุน สับปะรด แต่ที่ไม่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปโอ คือ ข้าวโพด เพราะจะไปขัดขวาง กระบวนการผลิตสารอินซูลินในร่างกายที่ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาล ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้
             ส่วนมะพร้าว ส้ม ก็ควรหลีกเลี่ยง รวมกระทั่งถึงอาหารที่ทำมาจากแป้งสาลี เพราะแป้งสาลีจะทำให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติ เกิดอาการไม่สบายได้ นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ต้องห้ามอีกกลุ่มหนึ่งของเลือดกรุ๊ปโอก็คือผลิตภัณฑ์ จากนม ทั้งนมพร่องมันเนย โยเกิร์ต ไอศกรีม
            ส่วนในกลุ่มของน้ำมันนั้น ถ้าใช้น้ำมันมะกอกก็จะเกิดผลดีต่อกระเพาะอาหาร
และลำไส้เพื่อป้องกันไม่ให้กระเพาะอาหารเกิดภาวะมีกรดเกลือมากผิดปกติ และยังช่วยลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กอีกด้วย
            คนเลือดกรุ๊ปโอ ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อยหรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มี เลือดกรุ๊ปอื่นๆอีกด้วย ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
เลือดกรุ๊ป B

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป B
พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ปบี ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว เริ่มเลี้ยงสัตว์เพื่อรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนเลือดกรุ๊ปนี้จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนก็อยู่ตรงที่มักมีปัญหา
 เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้จะมีภูมิต้านทานต่อการเป็นโรค เช่น โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็งได้ดี และถ้าสามารถรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ จะมีอายุยืนยาวได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนเลือดกรุ๊ปนี้จะเสี่ยงต่อการเป็น
โรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเช่น โรคเอสแอลอี(Systermic Lupus Erythrematosus) โรคที่ทำลายบริเวณของเนื้อเยื่อสมองและไขสันหลังทำให้มีอาการอัมพาต อาการสั่นกระตุก (multiple sclerosis) และกลุ่มของอาการโรคเหนื่อยเรื้อรัง
(chronic fatigue syndrome) คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย แต่ให้หลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง งาและธัญพืช เนื่องจากเลคตินในอาหารเหล่านี้ จะทำให้เกิดความอ้วน เพลีย เกิดภาวะน้ำคั่งในตัวได้ควรงดอาหารจากไก่ เนื่องจากไก่มีเลคติน(agglutinating lectin) ที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการอุดตัน
เส้นเลือดสมองจะมีปัญหาได้ และให้หลีกเลี่ยงหอยเพราะจะมีปัญหาจากเลคตินนี้เช่นกัน
              คนที่มีเลือดกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปเดียวที่สามารถดื่มนมและรับประทานอาหารที่ทำจากนมได้ดีโดยไม่มี ปัญหาให้ระวังพวกถั่วต่างๆ และงา เนื่องจากจะไปยับยั้งการทำงานของอินซูลินส่งผลทำให้อ้วน และระวังไม่รับ
ประทานมะเขือเทศ เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารมีปัญหาได้ ส่วนผักผลไม้อื่นๆ สามารถรับประทานได้ไม่มีปัญหา
             สิ่งที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ก็คือ ต้องรับประทาน “กล้วย” ให้มาก จะเป็นกล้วยหอม กล้วยไข่ หรือกล้วยน้ำว้าก็ได้ เพราะเป็นผลไม้ที่เหมาะกับธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมาก ยิ่งคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับด้วยแล้ว การรับประทานกล้วยจะทำให้สุขภาพดีมาก
             อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงของกรุ๊ปบีได้แก่ ข้าวโพด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบการเผาผลาญในร่ายกายด้อยลง รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน ถั่วแขก เพราะจะทำให้มีผื่นคันขึ้นมาได้ นอกจากนี้ก็ยังมีอีก 2  อย่างที่ต้องระวังคือ ถั่วลิสง เพราะจะทำให้ระบบตับไม่ดี และข้าวสาลีที่ไปรบกวนระบบย่อยอาหาร เป็นต้น
             คนที่มีเลือดกรุ๊ปบี มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้น จึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม สามารถทำได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอาการท้องอืด หรือท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว อย่างคนเลือดกรุ๊ปเอ ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ โยคะ ฯลฯ
เลือดกรุ๊ป A

อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป A
 เลือดกรุ๊ปนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์เมื่อมนุษย์เริ่ม ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง และรู้จักการเพาะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้นคนเลือดกรุ๊ปเอนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง ผักและผลไม้เป็นอย่างมาก แต่ระบบการย่อยอาหารของเลือดกรุ๊ปเอ จะทำงานไม่ค่อยดีแหมือนคนเลือดกรุ๊ปโอ
            การรับประทานมังสวิรัติจึงเหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอ เพราะอาหารที่มีโปรตีนสูงประเภทเนื้อสัตว์จะย่อยช้า ทำให้อึดอัด การได้รับประทานผักสด ผลไม้ จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และแหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดที่จะมาทดแทนเนื้อสัตว์  คือ ถั่ว แต่เนื่องจากถั่วอาจจะทำให้ลดการสร้างอินซูลิน ที่จะทำให้อ้วนได้ ดังนั้น อาหารทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ดีอีกอย่างก็คือ เต้าหู้
            อาหารที่ย่อยยากของคนเลือดกรุ๊ปเออีกอย่างก็คือ นมสด แต่โยเกิร์ตและนมเปี้ยวนั้นไม่เป็นปัญหา  และเช่นเดียวกับเลือดกรุ๊ปโอ ที่คนเลือดกรุ๊ปเอไม่ค่อยทนต่อเลคตินในอาหารประเภทมันฝรั่ง มะเขือเทศ กะหล่ำปลี พริกไทย และไม่ควรรับประทานผลไม้ที่มีความเป็นกรด เช่น มะม่วง มะละกอ ส้ม
            คนที่มีเลือดกรุ๊ปเอควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกหมูแฮม เบคอน ปลาไหล หอยนางลม หอยแมลงภู่ กุ้ง ปลาแซลมอน ปลาหมึก แต่อาหารทะเลที่จะเหมาะรับประทานอย่างยิ่งได้แก่ ปลาทู ปลากะพง
            ส่วนผลิตภัณฑ์จากนมนั้น การรับประทาน “โยเกิร์ต” เหมาะสมที่สุด และควรหลีกเลี่ยงนมสด(เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ปเอเอง) เพราะอาจแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวขึ้นได้ หรือจะทำให้มีเสลดและเสมหะออกมามากในตอนเช้า จึงควรเปลี่ยนมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนจะดีกว่ามาก
            ทางด้านผลไม้ คนเลือดกรุ๊ปเอเหมาะกับพวกสับปะรด ส้มโอ ลูกพรุน เชอร์รี่ ส่วนที่ควรหลีกเลี่ยงก็อย่างเช่น แคนตาลูป กล้วย มะพร้าว มะม่วง แตงโม ส้ม มะละกอ ส่วนผักที่เหมาะก็เช่น คะน้า แครอท หน่อไม้ กะหล่ำดอก ผักบุ้ง ผักกาดขาว แต่ไม่ควรทานกะหล่ำปลี มันฝรั่ง มะเขือเทศ
            และเนื่องจากน้ำย่อยในกระพะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนเลือดกรุ๊ปนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆ และธัญพืช เช่น ซีเรียล โฮลวีทที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง ข้อควรระวังของคนเลือดกรุ๊ปนี้ คือความเครียด การออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมากอาจยิ่งเพิ่มความเครียด ดังนั้น จึงควรฝึกนั่งสมาธิ โยคะ ตีกอล์ฟ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติ 
            ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ปเอ จะเลี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ มากกว่ากรุ๊ปอื่นๆ

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

ประวัติของคาคาชิ
ฮาตาเกะ คาคาชิ เป็นนินจาระดับโจนินแนวหน้าของหมู่บ้านโคโนฮะ อดีต เคยเข้าสังกัดนินจาอันบุ ผมสีขาวของคาคาชิได้รับสืบทอดมาจากพ่อของเขา (ฮาตาเกะ ซาคุโมะ) ซึ่งมีฉายาว่า "เขี้ยวสีขาวแห่งโคโนฮะ" ซึ่งเป็นหนึ่งนินจาในตำนานของหมู่บ้านโคโนฮะ ได้รับเนตรวงแหวนจากอุจิวะ โอบิโตะเพื่อนร่วมทีม มอบให้ก่อนจะเสียชีวิต โดยได้รับการผ่าตัดจากฮารุโนะ รินในระหว่างภารกิจ
คาคาชิเป็นศิษย์ของโฮคาเงะรุ่นที่ 4 (ซึ่งเป็นคนผนึกจิ้งจอกเก้าหางไว้ในตัวของนารูโตะ) เพื่อนร่วมทีมคือ อุจิวะ โอบิโตะ (เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติภารกิจ) และ ฮารุโนะ ริน คาคาชิคลั่งไคล้การอ่านหนังสืออจึ๋ยฯมาก ดังนั้นหากเขายังอ่านไม่จบ แต่มีคนมาเล่าตอนจบของอจึ๋ยฯให้ฟัง เขาจะทนไม่ได้ (ประมาณว่าเสียอรรถรสในการอ่านนั่นแหละ) ซึ่งตรงนี้นับเป็นจุดอ่อนของคาคาชิเลยก็ว่าได้ (สังเกตจากตอนที่คาคาชิกลับมาทดสอบฝีมือของนารุโตะกับซากุระ หลังจากการฝึกวิชามา 2 ปี) และ คาคาชิได้ฝึกวิชาเนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุบผาสำเร็จ แต่อิทาจิเคยพูดไว้ว่า"ถ้าไม่ใช่คนในตระกูลอุจิวะ ไม่สามารถเบิกเนตรนี้ได้" แต่คาคาชิก็ทำสำเร็จแม้ว่าจะยังใช้ได้ไม่คล่องก็ตาม ประมาณว่าใช้แล้วแรงหมดก๊อกเลยทีเดียว คาคาชิเคยใช้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผาต่อสู้กับเพนแต่ใม่สำเร็จ และตัวเขาก็ถูกเพนสังหาร แต่คาคาชิก็ฟื้นขึ้นมาเพราะนางาโตะ (ผู้ควบคุมเพนทั้ง 6) สละพลังทั้งหมดเพื่อคืนชีวิตให้กับคนที่เขาฆ่าในหมู่บ้านโคโนฮะ
ข้อมูลจำเพาะ
  • ชื่อ : ฮาตาเกะ คาคาชิ
  • สูง : 181 เชนติเมตร
  • หนัก : 67.5 กิโลกรัม
  • จบการศึกษาที่โรงเรียนนินจา : เมื่ออายุ 5 ปี
  • เลื่อนขั้นเป็นจูนิน : เมื่ออายุ 7 ปี
  • เลื่อนขั้นเป็นโจนิน : เมื่ออายุ 13 ปี
  • คาถาที่ถนัด : พันปักษา (คาคาชิเป็นคนคิดค้นขึ้นเอง)
  • อาหารที่ชอบ : ซุปมิโซะ ปลาทะเลเผาโรยเกลือ
  • อาหารที่เกลียด : ของทอดทุกชนิด (โดยเฉพาะเทมปุระ) กับของหวาน
  • หนังสือเล่มโปรด : อะจึ๊ยสวรรค์ (หนังสือที่จิไรยะเขียนโดยดูผู้หญิงอาบน้ำ)
ครอบครัวของคาคาชิ
แม่ ของคาคาชิไม่ปรากฏในเนื้อเรื่อง แต่พ่อของคาคาชิคือ ฮาตาเกะ ซาคุโมะ นินจาอัจฉริยะซึ่งได้รับฉายาว่า "เขี้ยวสีขาวแห่งโคโนฮะ" เมื่อ 5 ปีก่อน พ่อของคาคาชิได้ไปปฏิบัติภารกิจลับสุดยอดในฐานะหัวหน้าทีม เขาถูกบังคับให้ต้อง "เลือก" ระหว่างปฏิบัติภารกิจต่อ หรือ รักษาชีวิตลูกทีมไว้ ซาคุโมะเลือกช่วยชีวิตลูกทีมจึงจำใจสละภารกิจ (ซึ่งตามกฎห้ามละทิ้งภารกิจเด็ดขาด) จากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เกิดผลเสียตามมา ซาคุโมะถูกคนในหมู่บ้านตำหนิ สุดท้ายแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทีมก็ว่าร้ายเขา ทำให้ซาคุโมะอ่อนล้าทั้งกายและใจ สุดท้ายก็ปลิดชีพตัวเองลง
[แก้] กำเนิดเนตรวงแหวน(ชาริงกัน)คาคาชิ
ครู ของคาคาชิคือ ท่านโฮคาเงะรุ่นที่ 4 มีเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คนคือ อุจิวะ โอบิโตะ และ ฮารุโนะ ริน คาคาชิเก่งมากตั้งแต่เด็ก สามารถเลื่อนขั้นเป็นโจนินตั้งแต่ยังอายุยังน้อย คาคาชิยึดถือกกฎนินจามาก ส่วนโอบิโตะ เป็นเด็กสายเลือดอุจิวะ แต่อ่อนแอ ขี้แยมาก และยังไม่สามารถใช้เนตรวงแหวนได้ จึงถูกคาคาชิเยาะเย้ยอยู่บ่อยๆ โอบิโตะกับคาคาชินั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ส่วนรินนั้นเป็นนินจาแพทย์ เป็นคนอ่อนโยน ใจดี เป็นนินจาหญิงคนเดียวในทีม (ดูเหมือนว่าแอบชอบคาคาชิอยู่)
วันหนึ่ง เมื่อคาคาชิได้เลื่อนขั้นเป็นโจนิน ท่านโฮคาเงะรุ่นที่ 4 และริน ก็ให้ของขวัญคาคาชิ มีเพียงโอบิโตะที่ไม่ได้ให้ของขวัญคาคาชิ ครูของคาคาชิหรือโฮคาเงะรุ่นที่4 ได้มอบหมายภารกิจหนึ่ง (ในสมัยนั้น ได้เกิดมหาศึก 5 แคว้นใหญ่นินจา มีการรบกันอยู่ประปราย) โดยให้คาคาชิ โอบิโตะ และริน ซึ่งมีหัวหน้าทีมคือคาคาชิแอบไปที่แนวหลังของข้าศึก และโจมตีสะพานซึ่งเป็นแหล่งลำเลียงยุทธอุปกรณ์ ส่วนท่านรุ่นที่ 4 จะไปรับข้าศึกแนวหน้า เมื่อเดินทางไปได้ช่วงหนึ่ง เจอคนของข้าศึกที่มาดูลาดเลาซุ่มโจมตีอยู่ คาคาชิจึงใช้พันปักษาที่พึ่งคิดขึ้น แต่พลาดท่าถูกศัตรูสวนกลับ แต่ท่านรุ่นที่ 4 ก็ช่วยไว้และสั่งห้ามไม่ให้คาคาชิใช้วิชานี้อีกเพราะมีจุดอ่อนตรงที่มีความ เร็วมากจนไม่เห็นการโจมตีสวนของข้าศึก
เมื่อตกกลางคืนโอบิโตะถามท่าน รุ่นที่ 4 ว่าถึงแม้จะเข้าใจว่าคาคาชิเก่ง แต่คาคาชิก็ชอบดูถูกเขาอยู่เรื่อย ท่านรุ่นที่ 4 จึงเล่าเรื่องของพ่อคาคาชิให้โอบิโตะฟัง และบอกโอบิโตะว่า "โอบิโตะ เข้าใจคาคาชิหน่อยเถอะนะ คาคาชิน่ะ เค้าไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอก" เมื่อออกเดินทางอีกครั้ง ท่านรุ่นที่ 4 กับพวกคาคาชิก็แยกกันปฏิบัติภารกิจ แต่ในขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังเดินทางอยู่ ก็มีนินจาของข้าศึกมาจับตัวรินไป
โอ บิโตะบอกให้คาคาชิไปช่วยริน แต่คาคาชิบอกว่าเราต้องปฏิบัติภารกิจต่อไป โดยอ้างว่า "นินจาน่ะ ถึงต้องสละเพื่อนพ้อง ก็ต้องทำภารกิจให้สำเร็จให้จงได้ นั่นคือ กฎ" โอบิโตะไม่เห็นด้วยจึงตะโกนใส่คาคาชิว่า "ถ้าไม่ได้รินช่วยรักษาพวกเราตอนที่บาดเจ็บแล้ว ทั้งคู่ก็คงจะตายไปนานแล้ว" แต่คาคาชิก็ยังคงยืนยันคำเดิม โอบิโตะเลือดขึ้นหน้าถึงขนาดชกคาคาชิแล้วบอกว่า "ฉันจะไปช่วยรินคนเดียว" คาคาชิบอกว่า "นายไม่เข้าใจรึไงว่าคนที่ฝ่าฝืนกฎจะเป็นอย่างไร" โอบิโตะหันกลับมาพูดว่า "ฉันน่ะคิดว่าเขี้ยวสีขาวคือวีรบุรุษที่แท้จริง ถึงคนในวงการนินจาจะเรียกคนที่ฝ่าฝืนกฎหรือกติกาว่าเป็นสวะก็เถอะ แต่ว่า..คนที่ไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนน่ะ เป็นยิ่งกว่าเศษสวะซะอีก"
เมื่อ โอบิโตะมาช่วยรินคนเดียว เกือบเสียท่าถูกนินจาฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน แต่ในที่สุดคาคาชิเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เพราะคาคาชิสำนึกได้จึงมาช่วยโอบิโตะ แต่คาคาชิก็ถูกฟันเข้าที่ตาซ้าย โอบิโตะเห็นดังนั้นจึงโกรธมาก และไม่อยากจะเสียคำพูดที่เคยพูดไว้ จึงเบิกเนตรวงแหวนสำเร็จ ได้และฆ่านินจาที่มาทำร้าย ทั้งคู่บุกเข้าไปในถ้ำที่ขังรินไว้ ได้ร่วมกันต่อสู้กับนินจาที่ใช้คาถาลวงตาเพื่อรีดข่าวสารริน ทีมเวิร์คของทั้งคู่ทำให้ฝ่าเข้าไปช่วยรินได้ แต่นินจาที่เฝ้าถ้ำ ใช้คาถาดินทลายภูเขา ทำให้ผนังถ้ำหล่นลงมา คาคาชิบอกให้ทุกคนหนีออกไป แต่เพราะคาคาชิมีมุมบอดที่ตาช้าย ทำให้ไม่เห็นหินก้อนใหญ่ที่จะหล่นลงมาทับตัวเอง โอบิโตะเข้ามาผลักคาคาชิออกไป ทำให้โอบิโตะถูกหินทับที่ร่างกายซีกขวาจนแหลกละเอียด
ในระหว่างความ เศร้าโศกเสียใจและความสำนึกผิดของคาคาชิ คาคาชิพูดว่า "ถ้าฉันเชื่อนายมาช่วยรินด้วยกันตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้" โอบิโตะยิ้มและพูดว่า "จริงสิ ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญแสดงความยินดีที่นายได้เลื่อนขั้นเป็นโจนินเลยนี่คา คาชิ เนตรวงแหวนนี้ ฉันให้นาย" โอบิโตะให้ ริน ผ่าตัดเปลี่ยนเนตรวงแหวนของตัวเองกับตาซ้ายของคาคาชิ หลังจากนั้น คาคาชิก็กระโดดออกมาจากปากหลุม เจอกับนินจาคนเดิมที่ใช้คาถาทำให้ถ้ำถล่ม เขามองหน้าคาคาชิแล้วพูดว่า "นินจาใครเค้าร้องไห้กัน เข้ามาเลยเจ้าขี้แย" ใบหน้าของคาคาชิฉายแววเด็ดเดี่ยว ดวงตาข้างขวาดำสนิทฉายแววว่างเปล่า ส่วนดวงตาแดงข้างซ้ายมีรอยแผลเป็นเป็นทางยาวนั้นมีน้ำใหลเอ่อ คาคาชิกล่าวว่า "โอบิโตะ เพราะนายทำให้คาถานี้สมบูรณ์" แล้วก็ใช้วิชาพันปักษาจัดการนินจาคนนั้นจนตาย เพราะว่าเนตรวงแหวนสามารถมองการโจมตีของศัตรูออก จึงแก้ไขจุดอ่อนจุดสำคัญของพันปักษาได้โดยปริยาย
แต่ไม่ทันไร ก็มีนินจาอื่นมาสมทบมากมาย พวกมันใช้คาถาดินทลายภูเขา ทำให้ดินถล่มลงมา กลบปากหลุมที่โอบิโตะนอนอยู่ ในวินาทีสุดท้าย โอบิโตะคิดก่อนจะตายว่า "อุตส่าห์ได้ญาติดีกับคาคาชิแล้วแท้ๆ อยากจะอยู่กับทุกคนให้นานกว่านี้" แล้วดินก็กลบปากหลุมจนบังโอบิโตะหมด คาคาชิบอกให้รินหนีไปโดยตัวเองจะถ่วงเวลาไว้และเสริมว่าโอบิโตะฝากรินไว้กับ เขา เพราะงั้นต่อให้ต้องตายก็ต้องปกป้องรินไว้ให้ได้และพูดกับรินว่า "ริน โอบิโตะน่ะชอบเธอนะ เห็นเธอเป็นคนสำคัญถึงได้ปกป้องด้วยชีวิต" รินตะโกนทั้งน้ำตาว่า "คาคาชิ แล้วความรู้สึกของฉันล่ะ?" คาคาชิบอกว่าเขาเองเป็นแค่เศษสวะที่เคยจะทอดทิ้งเธอมาก่อน เมื่อนินจาทั้งหมดบุกเข้ามา คาคาชิก็ต่อสู้จนเฮือกสุดท้ายก่อนจะสลบไป เมื่อเขาตื่นขึ้นมาพบว่า ตัวเองนอนอยู่ข้างท่านรุ่นที่ 4 (ท่านรุ่นที่ 4 มาช่วยไว้ได้ทันเวลา)
หลังจากที่ภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาทำสำเร็จ แล้ว การต่อสู้ของ 5 แคว้นนินจาก็สงบลง มีคนมากมายที่ตายจากการทำภารกิจ โอบิโตะก็เป็น 1 ในนั้น เรื่องราวของคาคาชิได้แพร่ขยายออกไปทั่วแคว้น และในวันนั้นก็มีผู้ใช้เนตรวงแหวนเกิดขึ้น 2 คนคือ อุจิวะ โอบิโตะ และ ฮาตาเกะ คาคาชิ ทุกคนต่างก็รู้จักคาคาชิ ผู้มีฉายาว่า "ก๊อบปี้นินจาคาคาชิ" (เครดิตโดย รวมเล่มเล่ม 27 ตอนคาคาชิบอยไลฟ์กลางสมรภูมิรบ)แต่การใช้เนตรวงแหวนนั้น ไม่คล่องเท่าที่ควร และสูญเสียจักระอีกด้วย
คาคาชิตอนได้เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุ ปผา(มังคโยชาริงกัน)ก็ฝึกเอง โดยไม่จำเป็นต้องฆ่าคนที่รักแต่ตอนนารุโตะสู้กับซาซึเกะ ซาซึเกะไม่ได้อยากฆ่านารูโตะเลยแต่จำเป็นเพราะการจะได้ "เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา" จะต้องฆ่าเพื่อนที่รักที่สุด (เป็นข้อแม้เฉพาะคนในตระกูล) ไม่ใช่นารูโตะ แต่เป็นพี่ชายของตัวเอง

ลักษณะนิสัย
คาคาชิ ตอนใช้ท่าพันปักษา
คา คาชิ อาจารย์สังกัดกลุ่ม 7 หนึ่งในตัวละครที่รับความนิยมมากในหมู่สาว มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองสูง คาคาชิดูเหมือนจะเบลอในบางเวลา ดูเหมือนเขายังมีความเจ็บปวดลึกๆ ภายในจิตของเขาอยู่จากเรื่องในอดีต สังเกตจากเวลาปกติดวงตาจะดูเหม่อลอยเศร้าสร้อย แต่พอถึงเวลาที่คาคาชิเอาจริงขึ้นมา เท่ห์อย่าบอกใครเชียว โดยปกติจะอ่านหนังสือสวรรค์รำไร (อจึ๋ยสวรรค์ ในปัจจุบันมี 4 ภาค คือ อจึ๋ยสวรรค์รำไร อจึ๋ยตกสววรค์ อจึ๋ยสวรรค์ระทม และอะจึ๊ยแทคติคส์) นิยายวาบหวิวตลอดเวลา คนเขียนคือจิไรยะ ชายผู้ที่ได้ฉายาว่า เซียนลามกและเป็นอาจารย์อีกคนของนารูโตะ ในเล่มสุดท้ายคือตอนที่เอานารูโตะ ไปฝึกวิชาเพราะต้องส่งต้นฉบับจึงเขียนเป็นตอนไม่มีหญิงสาวเลย เวลานัดทีไรคาคาชิก็ชอบมาสายทุกครั้งและถึงแม้ว่าภายใต้หน้ากากนั้นจะเป็น ปริศนา แต่คาดว่าจะต้องมีหนุ่มรูปงามซุกซ่อนอยู่ภายใตหน้ากากนั้นแน่ (สังเกตจากตอนที่พวกนารูโตะอยากเห็นใต้หน้ากากของคาคาชิ จึงชวนไปกินราเม็ง ลูกสาวร้านขายราเมงเห็นแล้วถึงกับตกหลุมรัก ส่วนเจ้าของร้านราเมงถึงกับแอบหลง(แต่พวกนารุโตะไม่เห็น เนื่องจากพวกอิโนะได้มาบังพวกนารุโตะ)กับตอนที่คาคาชิช่วยสาวเมื่อ 3 ปีก่อนจาก 3 นินจาโมยะ พอคาคาชิจะพาไปส่งที่บ้าน เธอรีบกอดแขนแน่นเลย)อีกนิสัยหนึ่งคือ คาคาชิไม่ชอบให้ใครมาบอกเนื้อเรื่องล่วงหน้าของ อจึ๋ย เพราะเดี๋ยวไม่สนุก (นารุโตะเคยลองแล้วตอนสู้กับคาคาชิครั้งที่สอง)

คาถา
  • คาถาผนึกมาร
  • คาถาดิน สละชีพปั่นศีรษะ
  • คาถาไฟ ลูกไฟยักษ์
  • คาถาน้ำ ระเบิดน้ำมังกรวารี
  • คาถาน้ำ กำแพงวารี
  • คาถาน้ำ แยกร่างน้ำ
  • คาถาน้ำ วิชากระสุนน้ำ
  • คาถาหมอกพรางตัว
  • คาถาดิน กำแพงดินเคลื่อนไหว
  • ตัดสายฟ้า(ไรคริ)
  • พันปักษา(ชิโดริ)
  • เนตรวงแหวน(ชาริงกัน)
  • เนตรวงแหวนกระจกเงาหมื่นบุปผา(มังคโยชาริงกัน)
  • คาถาแยกร่างสายฟ้า
  • คาถาอัญเชิญเขี้ยวล่าสังหาร (สุนัขนินจาทั้ง8ตัว)
  • คาถาน้ำแข็ง วาฬเผือกเขาเดียว(ก็อปมาจากศัตรูในภาคเดอะมูฟวี่"ศึกชิงเจ้าหญิงหิมะ")

ข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิต
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

         จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิตที่ซ่อนอยู่ก็ได้


จรรยาบรรณครู
จรรยาบรรณข้อที่ 1

ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
 
หลักการ
 การแสดงออกของบุคคลในทางที่ดี เป็นผลมาจากสภาวะจิตใจที่ดีงามและความเชื่อถือที่ถูกต้องของบุคคล บุคลที่มีความรักและเมตตาย่อมแสดงออก ด้วยความปรารถนาในอันที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อบุคคลอื่น มีความสุภาพ ไตร่ตรองถึงผลแล้วจึงแสดงออกอย่างจริงใจ ครูจึงต้องมีความรักและเมตตาต่อศิษย์อยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นผลให้พฤติกรรมของครูที่แสดงออกต่อศิษย์ เป็นไปในทางสุภาพ เอื้ออาทรส่งผลดีต่อศิษย์ในทุกๆด้านคำอธิบาย 
1. ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า หมายถึงการตอบสนองต่อความต้องการ ความถนัด ความสนใจของศิษย์อย่างจริงใจ สอดคล้องกับความเคารพ การยอมรับ การเห็นอกเห็นใจ ต่อสิทธิพื้นฐานของศิษย์จนเป็นที่ไว้วางใจเชื่อถือและชื่นชมได้ รวมทั้งเป็นผลไปสู่การพัฒนารอบด้านอย่างเท่าเทียมกัน


พฤติกรรมที่สำคัญ 

* สร้างความรู้สึกเป็นมิตร เป็นที่พึ่งพาและวางใจได้ของศิษย์แต่ละคนและทุกคนตัวอย่างเช่น 
* ให้ความเป็นกันเองกับศิษย์ 
* รับฟังปัญหาของศิษย์และให้ความช่วยเหลือศิษย์ 
* ร่วมทำกิจกรรมกับศิษย์เป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม 
* สนทนาไต่ถามทุกข์สุขของศิษย์ ฯลฯ 
2 . ตอบสนองข้อเสนอและการกระทำของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ตามสภาพปัญหา ความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน 

ตัวอย่างเช่น 
* สนใจคำถามและคำตอบของศิษย์ทุกคน 
* ให้โอกาสศิษย์แต่ละคนได้แสดงออกตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ 
* ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของศิษย์ 
* รับการนัดหมายของศิษย์เกี่ยวกับการเรียนรู้ก่อนงานอื่น ๆ ฯลฯ 
3. เสนอและแนะแนวทางการพัฒนาของศิษย์แต่ละคน และทุกคนตามความถนัด ความสนใจและ ศักยภาพของศิษย์
 ตัวอย่างเช่น 
* มอบหมายงานตามความถนัด 
* จัดกิจกรรมหลากหลายตามสภาพความแตกต่างของศิษย์ เพื่อให้แต่ละคน ประสบ  ความสำเร็จเป็นระยะอยู่เสมอ 
* แนะแนวทางที่ถูกให้แก่ศิษย์ 
* ปรึกษาหารือกับครู ผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน เพื่อหาสาเหตุ และวิธีแก้ปัญหาของศิษย์ ฯลฯ 
4. แสดงผลงานที่ภูมิใจของศิษย์แต่ละคนและทุกคนทั้งในและนอกสถานศึกษา 
ตัวอย่างเช่น
 * ตรวจผลงานของศิษย์อย่างสม่ำเสมอ 
* แสดงผลงานของศิษย์ในห้องเรียน(ห้องปฏิบัติการ) 
* ประกาศหรือเผยแพร่ผลงานของศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จ ฯลฯ

จรรยาบรรณข้อที่ 2
ครูต้องอบรม สั่งสอน ฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้ แก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หลักการ
ครูที่ดี ต้องมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาศิษย์ให้เจริญได้ อย่างเต็มศักยภาพ และถือว่าความรับผิดชอบของตนจะสมบูรณ์ต่อเมื่อศิษย์ได้แสดงออกซึ่งผลแห่งการพัฒนานั้นแล้ว ครูจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน เลือกกิจกรรมการเรียนที่หลากหลาย เหมาะสมสอดคล้องกับการพัฒนาตามศักยภาพนั้น ดำเนินการให้ศิษย์ได้ลงมือทำกิจกรรมการเรียน จนเกิดผลอย่างชัดแจ้ง และยังกระตุ้นยั่วยุให้ศิษย์ทุกคนได้ทำกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อความเจริญงอกงามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คำอธิบาย 
ครูต้องอบรม สั่งสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้เกิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ หมายถึง การดำเนินงานตั้งแต่การเลือกกำหนดกิจกรรมการเรียนที่มุ่งผลต่อการพัฒนาในตัวศิษย์อย่างแท้จริง การจัดให้ศิษย์มีความรับผิดชอบ และเป็นเจ้าของการเรียนรู้ตลอดจนการประเมินร่วมกับศิษย์ในผลของการเรียนและการเพิ่มพูนการเรียนรู้ภายหลังบทเรียนต่าง ๆ ด้วยความปรารถนาที่จะให้ศิษย์แต่ละคนและทุกคนพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ


พฤติกรรมสำคัญ 
1.อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์อย่างมุ่ง มั่น และตั้งใจ
 ตัวอย่างเช่น 
* สอนเต็มเวลา ไม่เบียดบังเวลาของศิษย์ไปหาผลประโยชน์ส่วนตน 
* เอาใจใส่ อบรม สั่งสอนศิษย์จนเกิดทักษะในการปฏิบัติงาน 
* อุทิศเวลาเพื่อพัฒนาศิษย์ตามความจำเป็นและเหมาะสม 
* ไม่ละทิ้งชั้นเรียนหรือขาดการสอน ฯลฯ 
2. อบรมสั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาศิษย์ อย่างเต็มศักยภาพ
 ตัวอย่างเช่น 
* เลือกใช้วิธีการที่หลากหลายในการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของศิษย์ 
* ให้ความรู้โดยไม่ปิดบัง 
* สอนเต็มความสามารถ 
* เปิดโอกาสให้ศิษย์ได้ฝึกปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ 
* สอนเต็มความสามารถและด้วยความเต็มใจ 
* กำหนดเป้าหมายที่ท้าทาย พัฒนาขึ้น 
* ลงมือจัด เลือกกิจกรรมที่นำสู่ผลจริง ๆ 
* ประเมิน ปรับปรุง ให้ได้ผลจริง 
* ภูมิใจเมื่อศิษย์พัฒนา ฯลฯ

3.อบรม สั่งสอน ฝึกฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศิษย์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตัวอย่างเช่น * สั่งสอนศิษย์โดยไม่บิดเบือนหรืออำพราง * อบรมสั่งสอนศิษย์โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง 
* มอบหมายงานและตรวจผลงานด้วยความยุติธรรม ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 3
ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้ง ทางกายวาจา ใจ
หลักการ 
การเรียนรู้ในด้านค่านิยมและจริยธรรม จำเป็นต้องมีตัวแบบที่ดี เพื่อให้ผู้เรียนยึดถือและนำไปปฏิบัติตาม ครูที่ดีจึงถ่ายทอดค่านิยมและจริยธรรมด้วยการแสดงตนเป็นตัวอย่างเสมอ การแสดงตนเป็นตัวอย่างนี้ถือว่าครูเป็นผู้นำในการพัฒนาศิษย์อย่างแท้จริง
 คำอธิบาย 
การประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี หมายถึง การแสดงออกอย่างสม่ำเสมอของครูที่ศิษย์สามารถสังเกตรับรู้ได้เอง และเป็นการแสดงที่เป็นไปตามมาตรฐานแห่งพฤติกรรมระดับสูง ตามค่านิยม คุณธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม
พฤติกรรมที่สำคัญ
1.ตระหนักว่าพฤติกรรมการแสดงออกของครูมีผลต่อการพัฒนาพฤติกรรม ของศิษย์อยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น * ระมัดระวังในการกระทำ และการพูดของตนอยู่เสมอ * ไม่โกรธง่ายหรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวต่อหน้าศิษย์ * มองโลกในแง่ดี ฯลฯ 2.พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับศิษย์และสังคมตัวอย่างเช่น * ไม่พูดคำหยาบหรือก้าวร้าว * ไม่นินทาหรือพูดจาส่อเสียด ฯลฯ 3 .กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีสอดคล้องกับคำสอนของตนและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามตัวอย่างเช่น * ปฏิบัติตนให้มีสุขภาพ และบุคลิกภาพที่ดีอยู่เสมอ * แต่งกายสะอาดสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ * แสดงกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอ * ตรงต่อเวลา * แสดงออกซึ่งนิสัยที่ดีในการประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน สามัคคีมีวินัย 
* รักษาสาธารณะสมบัติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่4
ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์
หลักการ 
การแสดงออกของครูใดๆ ก็ตามย่อมมีผลในทางบวกหรือลบ ต่อความเจริญเติบโตของศิษย์ เมื่อครูเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อการพัฒนาทุก ๆ ด้านของศิษย์ จึงต้องพิจารณาเลือกแสดงแต่เฉพาะการแสดงออกที่มีผลทางบวก พึงระงับและละเว้นการแสดงใดๆ ที่นำไปสู่การชะลอหรือขัดขวางความก้าวหน้าของศิษย์ทุกๆด้าน
คำอธิบาย 
การไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญ ทางกาย สติปัญญา จิตใจอารมณ์ และสังคมของศิษย์ หมายถึง การตอบสนองต่อศิษย์ในการลงโทษ หรือให้รางวัลหรือการกระทำอื่นใด ที่นำไปสู่การลดพฤติกรรมที่พึงปรารถนาหรือเพิ่มพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนา

1. ละเว้นการกระทำให้ศิษย์เกิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคมของศิษย์ ตัวอย่างเช่น * ไม่นำปมด้อยของศิษย์มาล้อเลียน * ไม่ประจานศิษย์ * ไม่พูดจาหรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการซ้ำเติมปัญหาหรือข้อบกพร่องของศิษย์ * ไม่นำความเครียดมาระบายต่อศิษย์ ไม่ว่าด้วยคำพูด หรือสีหน้าท่าทาง * ไม่เปรียบเทียบฐานะความเป็นอยู่ของศิษย์ * ไม่ลงโทษศิษย์เกินกว่าเหตุ ฯลฯ 2. ละเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ ตัวอย่างเช่น * ไม่ทำร้ายร่างกายศิษย์ * ไม่ลงโทษศิษย์เกินกว่าระเบียบกำหนด * ไม่จัดหรือปล่อยปละละเลยให้สภาพแวดล้อมเป็นอันตรายต่อศิษย์ * ไม่ใช้ศิษย์เกินกว่าเหตุ ฯลฯ 3. ละเว้นการกระทำที่สกัดกั้นพัฒนาการทาง สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ และสังคมของศิษย์ ตัวอย่างเช่น * ไม่ตัดสินคำตอบถูกผิดโดยยึดคำตอบของครู * ไม่ดุด่าซ้ำเติมศิษย์ที่เรียนช้า * ไม่ขัดขวางโอกาสให้ศิษย์ได้แสดงออกทางสร้างสรรค์ 
* ไม่ตั้งฉายาในทางลบให้ศิษย์  ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 5
ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการ ปฏิบัติหน้าที่ ตามปกติ และไม่ให้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
หลักการ 
การใช้ตำแหน่งหน้าที่ในวิชาชีพแสวงหาประโยชน์ตนโดยมิชอบ ย่อมทำให้เกิดความ ลำเอียงในการปฏิบัติหน้าที่ สร้างความไม่เสมอภาค นำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาในบุคคลและวิชาชีพ ดังนั้น ครูจึงไม่แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้จากศิษย์ หรือใช้ศิษย์ไปแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
คำอธิบาย 
การไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ปกติ และไม่ใช้ศิษย์กระทำการใดๆ อันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ หมายถึง การไม่กระทำการใดๆ ที่จะได้มาซึ่งผลตอบแทนเกินสิทธิที่พึงมีพึงได้จากการปฏิบัติหน้าที่ ในความรับผิดชอบตามปกติ
พฤติกรรมที่สำคัญ 1.ไม่รับหรือแสวงหาอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์อันมิควรจากศิษย์ ตัวอย่างเช่น * ไม่หารายได้จากการนำสินค้ามาขายให้ศิษย์ * ไม่ตัดสินผลงานหรือผลการเรียน โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน * ไม่บังคับหรือสร้างเงื่อนไขให้ศิษย์มาเรียนพิเศษ เพื่อหารายได้  ฯลฯ 2.ไม่ใช้ศิษย์เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ให้กับตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขนบธรรม เนียม ประเพณีหรือความรู้สึกของสังคม
 ตัวอย่างเช่น 
* ไม่นำผลงานของศิษย์ไปแสวงหากำไรส่วนตน * ไม่ใช้แรงงานศิษย์เพื่อประโยชน์ส่วนตน 
* ไม่ใช้หรือจ้างวานศิษย์ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 6
ครูย่อมพัฒนาตนทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ แ ละวิสัยทัศน์ให้ทันต่อพัฒนาการทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอ
หลักการ 
สังคมและวิทยาการมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นครูในฐานะผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงและ แนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต
คำอธิบาย 
การพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการ พัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอยู่เสมอหมายถึงการใฝ่รู้ ศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี สามารถพัฒนาบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์
1.ใส่ใจศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวกับวิชาชีพอยู่เสมออย่างเช่น ตัว * หาความรู้จากเอกสาร ตำรา และสื่อต่างๆตามโอกาส * จัดทำและเผยแพร่ความรู้ต่างๆผ่านสื่อตามโอกาส * เข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนา หรือฟังคำบรรยายหรืออภิปรายทางวิชาการ ฯลฯ 2 .มีความรอบรู้ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ สามารถนำมาวิเคราะห์ กำหนดเป้าหมายแนวทางพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง อาชีพ และเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น * นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ประกอบการเรียนการสอน * ติดตามข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง อยู่เสมอ * วางแผนพัฒนาตนเองและพัฒนางาน 3. แสดงออกทาง ร่างกาย กิริยา วาจา อย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ ตัวอย่างเช่น * รักษาสุขภาพและปรับปรุงบุคลิกภาพอยู่เสมอ * มีความเชื่อมั่นในตนเอง * แต่งกายสะอาดเหมาะสมกับกาลเทศะและทันสมัย 
* มีความกระตือรือร้น ไวต่อความรู้สึกของสังคม ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 7
ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครุ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครู
หลักการ 
ความรักและเชื่อมั่นในอาชีพของตน ย่อมทำให้ทำงานอย่างมีความสุขและมุ่งมั่น อันจะส่งผลให้อาชีพนั้นเจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ดังนั้นครูย่อมรักและศรัทธาในอาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครูด้วยความเต็มใจ
คำอธิบาย ความรักและศรัทธาในวิชาชีพครู และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพครูหมายถึงการแสดงออกด้วยความชื่นชมและเชื่อมั่นในอาชีพครูด้วยตระหนักว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความสำคัญและจำเป็นต่อสังคม ครูพึงปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจและภูมิใจ รวมทั้งปกป้องเกียรติภูมิของอาชีพครู เข้าร่วมกิจกรรมและสนับสนุนองค์กรวิชาชีพครู 
พฤติกรรมที่สำคัญ
1.เชื่อมั่น ชื่นชม ภูมิใจในความเป็นครุและองค์กรวิชาชีพ ว่ามีความสำคัญและจำเป็นต่อสังคม ตัวอย่างเช่น * ชื่นชมในเกียรติและรางวัลที่ได้รับและรักษาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย * ยกย่องชื่นชมเพื่อนครูที่ประสบผลสำเร็จเกี่ยวกับการสอน * เผยแพร่ผลสำเร็จของตนเองและเพื่อนครู * แสดงตนว่าเป็นครูอย่างภาคภูมิ  ฯลฯ 2.เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพครูและสนับสนุนหรือเข้าร่วม หรือเป็นผู้นำใน กิจกรรมพัฒนาวิชาชีพครู ตัวอย่างเช่น * ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อกำหนดขององค์กร * ร่วมกิจกรรมที่องค์กรจัดขึ้น * เป็นกรรมการหรือคณะทำงานขององค์กร ฯลฯ 3. ปกป้องเกียรติภูมิของครูและองค์กรวิชาชีพครูตัวอย่างเช่น * เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผลงานของครูและองค์กรวิชาชีพ 
* เมื่อมีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับวงการวิชาชีพครู ก็ชี้แจงและทำความเข้าใจให้ถูกต้อง  ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 8
ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์
หลักการ 
สมาชิกของสังคมใดพึงผนึกกำลังกัน พัฒนาสังคมนั้นและเกื้อกูลสังคมรอบข้างในวงวิชาชีพครู ผู้ประกอบอาชีพครูพึงร่วมมือและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความเต็มใจอันจะยังผลให้เกิดพลังและศักยภาพในการพัฒนาวิชาชีพครูและการพัฒนาสังคม
คำอธิบาย 
การช่วยเหลือเกื้อกูลครุและชุมชนในทางสร้างสรรค์ หมายถึงการให้ความร่วมมือ แนะนำปรึกษาช่วยเหลือแก่เพื่อนครู ทั้งเรื่องส่วนตัว ครอบครัว และการงานตามโอกาสอย่างเหมาะสม รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน โดยการให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติตนปฏิบัติงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน
พฤติกรรมที่สำคัญ
1.ให้ความร่วมมือแนะนำ แก่เพื่อนครูตามโอกาสและความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น * ให้คำปรึกษาการจัดทำผลงานทางวิชาการ * ให้คำแนะนำการผลิตสื่อการเรียนการสอน ฯลฯ 2. ให้ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ สิ่งของแก่เพื่อนครูตามโอกาส และความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น * ร่วมงานกุศล * ช่วยทรัพย์เมื่อครูเดือดร้อน * จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฯลฯ 3. เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนรวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางปฏิบัติตนตัวอย่างเช่น * ปฏิบัติงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ตัวอย่างเช่น 
* แนะแนวทางป้องกัน และกำจัดมลพิษ ฯลฯ
จรรยาบรรณข้อที่ 9
ครูพึงประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญา และ วัฒนธรรมไทย
หลักการ 
หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของการศึกษา คือการพัฒนาคนให้มีภูมิปัญญาและรู้จักเลือกวิธีการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ในฐานะที่ครู เป็นบุคลากรที่สำคัญทางการศึกษา ครูจึงควรเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
คำอธิบาย 
การเป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยหมายถึงการริเริ่มดำเนินกิจกรรม สนับสนุนส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยโดยรวบรวมข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ เลือกสรร ปฏิบัติตน และเผยแพร่ศิลปะ ประเพณี ดนตรี กีฬา การละเล่น อาหารเครื่องแต่งกาย ฯลฯเพื่อใช้ในการเรียนการสอนการดำรงชีวิตตนและสังคม

พฤติกรรมที่สำคัญ 
1.รวบรวมข้อมูลและเลือกสรรภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมที่เหมาะสมาใช้จัด กิจกรรมการเรียนการสอน
ตัวอย่างเช่น 
* เชิญบุคคลในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากร 
* นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน 
* นำศิษย์ไปศึกษาในแหล่งวิทยาการชุมชน  ฯลฯ 
2. เป็นผู้นำในการวางแผนและดำเนินการ เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม
 ตัวอย่างเช่น 
* ฝึกการละเล่นท้องถิ่นให้กับศิษย์ 
* จัดตั้งชมรม สนใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น 
* จัดทำพิพิธภัณฑ์ในสถานศึกษา ฯลฯ 
3. สนับสนุนส่งเสริมเผยแพร่ และร่วมกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน อย่างสม่ำเสมอ
 ตัวอย่างเช่น 
* รณรงค์การใช้สินค้าพื้นเมือง 
* เผยแพร่การแสดงศิลปะพื้นบ้าน 
* ร่วมงานประเพณีของท้องถิ่น 
4. ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อนำผลมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 
ตัวอย่างเช่น 
* ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการละเล่นพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ตำนาน และความเชื่อถือ 
* นำผลการศึกษาวิเคราะห์มาใช้ในการเรียนการสอน



นายศิริพงษ์  จันทะแจ่ม


ค.บ. 3 คอมพิวเตอร์ศึกษา


คำขวัญ 10  ประการ 1.ใฝ่ดี
2.ใฝ่รู้
3.สู้งาน
4.ขยัน
5.ซื่อสัตย์
6.ประหยัด
7.อดทน/ทนอด
8.อ่อนน้อมถ่อมตน
9.มีน้ำใจบริการ
10.ชำนาญในวิชาชีพ

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นายศิริพงษ์ นามสกุล จันทะแจ่ม
ชื่อเล่น  เพียว  อายุ เป็นเพียงตัวเลข ปี
สัญชาติ  ไทย     เชื้อชาติ  ไทย         ศาสนา  พุทธ
เกิดวันที่   เดือน  กุมภาพันธ์   พ.ศ. .........
เลือดกรุ๊  เอ  สถานภาพ  โสด
มีพี่น้อง  2  คน : ชาย  1  คน หญิง 1  คน เป็นบุตรคนที่  2
เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน  1-4118-00116-02-5
ภูมิลำเนาเดิม
 บ้านเลขที่  92/1หมู่ที่ 4     ถนน น้ำโสม-นายูง
ตำบล/แขวง น้ำโสม    อำเภอ/เขต น้ำโสม
จังหวัด  อุดรธานี       รหัสไปรษณีย์ 41210
ที่อยู่ปัจจุบัน
หอพักมิ่งขวัญ   บ้านเลขที่ 46    หมู่ที่ 3
ตำบล/แขวง  จอมบึง     อำเภอ/เขต  จอมบึง
จังหวัด  ราชบุรี      รหัสไปรษณีย์  70150


โทรศัพท์   0860311267 ,0876647737
E-mail address 
 s524144006@gmail.com ,    ibm_club@hotmail.com


ประวัติการศึกษา

ระดับการศึกษา

สถานศึกษา/จังหวัด

ปีการศึกษา

ประถมศึกษา

โรงเรียนชุมชนน้ำโสม จ.อุดรธานี

2539 - 2545

เปลี่ยนชื่อเป็น  โรงเรียนอนุบาลชุมชนน้ำโสม

มัธยมศึกษาตอนตน

โรงเรียนอนุบาลชุมชนน้ำโสม จ.อุดรธานี

2545 - 2548


เปลี่ยนชื่อเป็น  โรงเรียนน้ำโสมประชาสรรค์

มัธยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนน้ำโสมพิทยาคม  จ.อุดรธานี

2548 – 2550

ระดับอุดมศึกษา

มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี

2551 –  ปัจจุบัน



ลักษณะนิสัย
มีโลกส่วนตัวสูง
:  รักใครรักจริง
เกลียดใครเกลียดจริง
มีความเป็นผู้นำสูง
:  รักสนุก (บางครั้ง)
หัวดื้อเอาแต่ใจ
เก็บกด  บ้าอำนาจ
ยอมรับความสูญเสียไม่ได้ และรับความผิดหวังไม่ได้


รสนิยม

อาหารจานโปรด : ผัดผงกระหรี่ทุกอย่าง  
นักร้องที่ชื่นชอบ : โปเตโต
ดาราที่ชื่นชอบ  : ซี ศิวัฒน์ 
แนวหนังที่ชอบ : Fantasy , Comedy, สยองขวัญ
แนวเพลงที่ชอบ : ลูกทุ่ง , เพลงเพื่อชีวิต
เพลงที่ชอบ    : แพ้กลางคืน , ยอมจำนนท์ฟ้าดิน
สีที่ชอบ  :   ขาว ดำ
งานอดิเรก    อ่านหนังสือที่ห้องสมุด  , ฟังเพลง . ออนเอ็ม
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ  :
สุนัข 
กีฬาที่ชอบ  : บาสเก็ตบอล
ทีมฟุตบอลที่ชอบ  : อาร์เชนอล
คติประจำใจ
: กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นคืนสนอง 
อุดมคติในชีวิต : คนที่มีความสุขที่สุด  
อนาคตที่ต้องการเป็น : อยากเป็นผู้บริหารสถานศึกษา
อุดมคติในการเป็นครู :
      ครูเป็นเหมือนพ่อ แม่ คนที่สอง ของ นักเรียน คอยอมรมสั่ง จนนักเรียนประสบความสำเร็จ และครูก็เป็นคนที่ให้ความรู้แก่นักเรียนทำให้เขารู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้และครูเปรียบเสมือนเทียนหนึ่งเล่มที่จุดให้แสงสว่างแก่  คนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต และนำคำสั่งสอนที่ครูค่อยพร่ำสอนนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวัน
 
   ครู  คือ  ผู้ที่เตะกะลาคลอบออกจากสิ่งมีชีวิต ให้ออกมาสู่โลกกว้าง มาเจอสิ่งที่ไม่เคยเจอ และชี้ทางเดินให้สิ่งมีชี้วิต ให้ก้าวเดินไปตามทางที่เค้าจะเป็นและจะไป
ทำไมอยากเป็นครู เพราะอยากจะเป็นคนที่เตะกะลาออกจากสิ่งมีชีวิตนั่น อย่างที่เคยมีครูมาเตะกะลาออกจากตัวฉัน